วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เมืองโพนพิสัย

  • ใต้เมืองโพนพิสัย

ลักษณะของอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคายที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ด้านหัวเมืองจะมีลำห้วยหลวงไหลออกมา เรียกว่า ปากห้วยหลวง ตรงข้ามกับอำเภอโพนพิสัย คือ บ้านโดน ที่ขึ้นกับเมืองปากงึม ทุกวันนี้มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเมืองบาดาลที่เชื่อว่าอยู่ใต้อำเภอโพนพิสัย ว่า ในหน้าแล้งจะมีหาดทรายขึ้นกลางแม่น้ำโขง แต่บริเวณอำเภอโพนพิสัยหาดทรายนี้จะขึ้นอยู่ฝั่งลาว บริเวณบ้านโดน วันหนึ่งในหน้าแล้งตอนเที่ยงวัน ได้มีหญิงสาวชาวบ้านโดนคนหนึ่ง ได้ลงมาตักเพื่อไปดื่ม โดยมีกระป๋องน้ำ (หาบครุ) ลงมาที่หาดทราย เพราะบริเวณนั้นมีน้ำออกบ่อ (น้ำริน) เมื่อลงมาแล้วได้หายไป ชาวบ้านลงมาเห็นแต่กระป๋องน้ำ (หาบครุ) พ่อ แม่ ต่างก็ตามหากันแต่ไม่พบ จนครบ 7 วัน เมื่อไม่เห็นลูกสาว และคิดว่าลูกสาวคงจมน้ำตายแล้ว จึงได้พร้อมกับญาติพี่น้อง ชาวบ้านจัดทำบุญอุทิศให้ ในตอนกลางคืนก็มีหมอลำสมโภช จนเวลาต่อมาเวลาประมาณเที่ยงคืน ลูกสาวคนที่เข้าใจว่าจมน้ำตาย ก็ปรากฎตัวขึ้นที่บ้าน ขณะที่ชาวบ้านกำลังฟังหมอลำกันอยู่ ทำให้ญาติพี่น้องแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก บางคนก็วิ่งหนีเพราะคิดว่าเจอผีหลอกเข้า สุดท้ายลูกสาวจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง หลังจากที่ตั้งสติได้ และแล้วญาติพี่น้องก็เข่ามาร่วมวงนั่งฟัง หญิงสาวเล่าให้ทุกคนฟังว่า

"วันนั้นอากาศร้อนมาก น้ำดื่มหมดโอ่ง เมื่อลงไปเพื่อจะตักน้ำ เมื่อวางกระป๋องน้ำ (หาบครุ) ปรากฎว่าเห็นมีหมู เหมือนกับว่าได้ยกเท้าหน้าเรียกให้เข้าไปหา ตนได้เดินเข้าไปหา แล้วหมูตัวนั้นก็บอกว่าให้หลับตา จะพาลงไปเมืองบาดาล พอหลับตาได้สักครู่ หมูตัวนั้นก็บอกให้ลืมตา เมื่อลืมตาขึ้นปรากฎว่าตนมาอยู่อีกเมืองหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับเมืองมนุษย์ มีดิน มีบ้านเรือนเรียงรายกันอยู่ แต่จะมีแปลกก็ตรงที่ทุกคนจะนุ่งผ้าแดง และมีผ้าพันศรีษะเป็นสีแดงเหมือนกัน โดยด้านหน้าจะปล่อยให้ผ้าแดงห้อยลงเหมือนกับหัวงู เมื่อเดินตามชายคนนั้น (กลับร่างหมู กลายเป็นคน) ก็มีชาวบ้านถามกันว่า นำมนุษย์ลงมาทำไม (เพราะกลิ่นมนุษย์ต่างกับเมืองบาดาล) ชายคนนั้นก็บอกว่าพามาเที่ยวดูเมือง ได้เดินไปเรื่อย ๆ เมื่อแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ากลับปรากฎว่าเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ เหมือนสีขุ่น ๆ ของน้ำ ชายคนนั้นได้บอกว่า นี่เป็นเมืองบาดาล และเป็นเมืองหน้าด่าน ส่วนตัวเมืองหลวงนั้นยังอยู่อีกไกล และชาวเมืองจะมีงานสมโภชเมื่อถึงวันออกพรรษาของเมืองมนุษย์ ซึ่งถือว่าตลอด 3 เดือน ที่เข้าพรรษานั้นเหล่าชาวเมืองที่นี่ก็จะจำศีลปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า หลังจากที่เดินชมเมืองอยู่ไม่นาน ชายคนนั้นก็ได้นำขึ้นมาส่ง โดยการเดินมาทางเดิม ก็เป็นการเดินมาเรื่อย ๆ แต่ได้ขึ้นมายืนอยู่บริเวณหาดทรายเหมือนเดิม แล้วก็ได้ขึ้นมาหาพ่อ แม่ นี้"

จากการเล่าของลูกสาว พ่อ แม่ ญาติพี่น้องจึงได้จัดงานทำบุญทำพิธีสู่ขวัญ เพื่อเป็นการต้อนรับขวัญให้กับลูกสาว ต่อมาอีก 7 วัน ลูกสาวก็ได้เจ็บป่วยและเสียชีวิตในที่สุด (เหตุการณ์นี้สอบถามได้จากผู้เฒ่า ผู้แก่ชาวโพนพิสัย คุ้มวัดศรีเกิดได้)

  • สิ่งต้องห้ามของชาวอำเภอโพนพิสัย

สิ่งต้องห้ามสิ่งหนึ่งของชาวอำเภอโพนพิสัย ก็คือ ห้ามนำมุ้งลงไปซักในแม่น้ำโขง ไม่ว่าจะเป็นที่ใด เพราะจะทำให้บริเวณนั้นพังทลายเมื่อถึงหน้าฝน และก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อถึงหน้าฝนทุกปี หากมีคนนำมุ้งลงไปซัก หลายคนไม่เชื่อได้นำมุ้งลงไปซักในแม่น้ำโขง ก็มักพบกับสิ่งแปลก ๆ บางคนก็เห็นปลาว่ายวนเวียนไปมาอยู่บริเวณนั้น แต่หลายคนจะเห็นเป็นงูว่ายน้ำไปมาอยู่ใกล้ ๆ ที่ซักมุ้ง บางคนจะเห็นเป็นงูขนาดใหญ่ว่ายน้ำเป็นสายตรง จากท่าวัดจุมพล แล้วมุ่งหน้าไปที่ปากห้วยกุง บ้านหนองกุงฝั่งลาว จะเป็นสายน้ำ ลักษณะเช่นนี้จะเห็นในตอนเที่ยงวัน ที่วันไหนแดดร้อน ชาวบ้านเรียกสิ่งนี้ว่างูใหญ่ ที่มีชื่อว่า"นาคตาเดียว" เนื่องจากครั้งหนึ่งได้มีฝรั่งไปนอนอาบแดดอยู่หาดทรายบ้านโดน แล้วมีคนหนึ่งจมน้ำตายไป เมื่อฝรั่งขึ้นเครื่องบินดูกลับเห็นว่า มีงูใหญ่ตัวหนึ่งทับร่างอยู่ จึงได้โยนลูกระเบิดลงมาและถูกงูใหญ่ตัวนั้น ทำให้ตาข้างหนึ่งบอด (เรื่องนี้สอบถามชาวบ้านได้) จนต่อมาชาวบ้านก็จะเรียกว่า "ไอ้เดี่ยว" หรือ "นาคตาเดียว" และมักจะปรากฏให้ชาวบ้านที่ออกไปหาปลาเห็นอยู่เสมอ แต่ไม่ทำร้ายใคร ตั้งแต่ถูกลูกระเบิด บางครั้งที่บริเวณห้วยกุง (ฝั่งลาว) บางวันแดดร้อน ๆ ชาวบ้านจะเห็นน้ำพุ่งขึ้นจากห้วยเป็นลักษณะเหมือนละอองน้ำเป็นลูกใหญ่ขนาดเท่าลำตาล และเห็นหัวงูขนาดใหญ่ในละอองน้ำ เหมือนกับว่ากำลังพ่นน้ำเล่นอยู่ในห้วย สายน้ำที่มีลักษณะเหมือนงูว่ายน้ำนั้น ผู้เขียนเองก็เห็นมากับตา เพราะผู้เขียนเองได้นั่งอยู่ที่ท่าน้ำวัดจุมพล พร้อมกับพรรคพวก ขณะพักผ่อนที่ริมน้ำ

นอกจากการเห็นงูใหญ่ว่ายน้ำไปมาเป็นแนวตรง ดังกล่าวแล้ว สิ่งหนึ่งที่ชาวโพนพิสัย ได้กระทำกันเป็นประเพณีติดต่อกันมา เพื่อเป็นการสักการะเจ้าแม่คงคา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในลำแม่น้ำโขง โดยการไหลเรือไฟ ที่ทำจากกาบกล้วยใส่ขี้ใต้จุดให้ไหลไปตามน้ำ ซึ่งทำการไหลตั้งแต่ท่าน้ำบ้านแดนเมือง ต.วัดหลวง แต่ไม่มีการแข่งขันประกวดกันเหมือนทุกปี ซึ่งจะทำกันในวันออกพรรษาของทุกปี ซึ่งจะมีการไหลเรือไฟก็ต่อเมื่อเสร็จจากการเวียนเทียน

  • ลูกไฟประหลาด

หลังจากการเวียนเทียนเสร็จในวันออกพรรษาที่วัดไทย (ทุกวัดจะมารวมกัน) อ.โพนพิสัย แล้ว พระเณรส่วนหนึ่ง พร้อมด้วยชาวบ้านก็จะนั่งเรือหางยาวนำเรือไฟที่ทำด้วยกาบกล้วย ต้นกล้วย ขึ้นไปปล่อยจากท่าน้ำวัดบ้านแดนเมือง ตงวัดหลวง (รวมทั้งผู้เขียนด้วย) ได้ขึ้นไปในเรือและก็ปล่อยเรือไฟลงมา ตอนนี้ก็จะดับเครื่องเรือแล้วปล่อยให้ไหลลงมาเรื่อย ๆ ในความเงียบนี้เมื่อมาถึงแถวท่าน้ำวัดหลวงก็จะเริ่มเห็นมีสิ่งเหมือนลูกไฟผุดขึ้นมาจากใต้น้ำ เป็นลูกสีแดงอมชมพู ขึ้นสูงจากผิวน้ำประมาณ 2-3 วา แล้วก็ดับไปในอากาศ จะขึ้นจุดละ 1 ลูก นาน ๆ จะขึ้นลูกหนึ่งและก็เรื่อยมา ที่ปากห้วยหลวงท่าวัดจุมพล และจะมีมากที่ท่าน้ำวัดไทย ซึ่งเป็นที่รวมของพระเณร และชาวบ้านที่มาร่วมกันเวียนเทียน และอีกแห่งที่เห็นลูกไฟนี้คือ ท่าน้ำวัดจอมนาง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย

ลูกไฟที่ว่านี้จะขึ้นก็ต่อเมื่อบนฝั่งเงียบสงัด เกิดขึ้นในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ไปจนถึงเที่ยงคืนก็คืน จะเกิดขึ้นลูกเดียวโดด ๆ จะเกิดห่างกันหลายนาที และจะเกิดขึ้นเฉพาะในวันออกพรรษาเท่านั้น สมัยเมื่อปี 2516 ลงไป ลูกไฟนี้จะเกิดน้อยมาก แต่ชาวบ้านก็รอดูกันโดยการปูเสื่อนั่งรอดูอยู่ตามวัดไทย วัดจุมพล คนดูก็ไม่มาก บางคนก็หลับไปเพราะรอดูลูกไฟประหลาด

ลูกไฟประหลาดที่ว่านี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานมาแล้ว เพราะว่าคนแก่ที่มีอายุ 80 ปี (เมื่อปี พ.ศ.2540) ได้บอกว่าเมื่อตนยังเป็นเด็กก็เคยเห็นลูกไฟนี้เหมือนกัน และพ่อแม่ก็ได้บอกว่าเห็นมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน

ต่อมาเมื่อชาวอำเภอโพนพิสัย ได้ไปอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ และประกอบกับสื่อสารมวลชนได้ลงข่าวเมื่อปี พ.ศ.2519 ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่ชาวอำเภอโพนพิสัย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเห็นมาทุกปี จึงไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ซึ่งผิดกับชาวต่างจังหวัดที่พากันมาดูแล้วบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ จึงมีคนมาในแต่ละปีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขนาดทำให้รถยนต์ติดกันเป็นแถวในวันออกพรรษาของทุกปี

  • ลักษณะของลูกไฟ

จะมีลักษณะเป็นสีแดงอมชมพู พุ่งขึ้นจากใต้น้ำ บริเวณขึ้นก็ไม่แน่นอน บางครั้งขึ้นกลางแม่น้ำโขง และบางครั้งจะขึ้นใกล้ฝั่ง การเกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขงลูกไฟจะเอนเข้าหาฝั่ง แต่หากขึ้นริมฝั่ง ลูกไฟจะเอนออกไปกลางโขง

ในปัจจุบันนี้ ลูกไฟจะขึ้นตั้งแต่ตอนหัวค่ำ คือเวลาประมาณ 18.00 น. จะขึ้นจุดละไม่ต่ำกว่า 20 ลูก และขึ้นสูงจากผิวน้ำตั้งแต่ 50-100 เมตร จะมีลูกใหญ่ เล็กไม่แน่นอน และจุดเกิดไม่แน่นอน จะเปลี่ยนจุดเกิดไปเรื่อย ๆ แต่จะเกิดในเขตบริเวณ อ.โพนพิสัย ตลอดแนวของแม่น้ำโขง นอกจากแม่น้ำโขงแล้ว ในหนองน้ำขนาดใหญ่ก็มีลูกไฟขึ้นเช่นกัน เช่น หนองสรวง บ้านร่อนถ่อน ต.จุมพล อ.โพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เมื่อถึงวันออกพรรษาของทุกปี ทุกวันนี้จะมีชาวต่างจังหวัด และต่างประเทศเดินทางไปที่ อ.โพนพิสัย เพื่อดูลูกไฟประหลาดนี้กันเป็นจำนวนมาก เรียกว่าจากทั่วสารทิศ

  • ที่เกิดของลูกไฟ...

ลูกไฟประหลาด นี้จะเกิดขึ้นตามบริเวณตั้งแต่ท่าน้ำวัดหลวง ต.วัดหลวง ปากห้วยหลวง ท่าน้ำจุมพล ท่าน้ำวัดไทย ท่าน้ำวัดจอมนาง และบริเวณปากน้ำงึม บ้านหนองกุง ต.กุดบง ท่าน้ำบ้านน้ำเป ต.รัตนวาปี ท่าน้ำบ้านท่าม่วง กิ่ง อ.รัตนวาปี และที่แก่งอาฮง บ้านอาฮง ต.หอคำ อ.บึงกาฬ และที่บริเวณท่าน้ำวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ ที่กล่าวมทั้งหมดอยู่ในจังหวัดหนองคาย

แต่ก่อนจะมีคนเห็นเฉพาะที่บริเวณเขต อ.โพนพิสัย เป็นส่วนมาก ลูกไฟที่เกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขงนี้ ที่เกิดมาเป็นเวลานาน ชาวบ้าน อ.โพนพิสัย เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค"


ภาพลูกไฟประหลาดที่ผุดขึ้นจากแม่น้ำโขง ชาวบ้านเรียก "บั้งไฟพญานาค"

  • บั้งไฟพญานาค...จะแตกต่างจากลูกไฟทั่วๆ ไปที่มนุษย์ทำขึ้น เพราะลูกไฟที่มนุษย์ทำขึ้นนั้นจะมีลักษณะเป็นสีแดง มีเปลวไฟขณะกำลังพุ่งขึ้น แล้วโค้งตกลงมา แต่ บั้งไฟพญานาค นี้ เป็นลูกไฟสีแดงอมชมพู ไม่มีเสียง ไม่มีเปลวไฟ ขึ้นตรง ดับกลางอากาศ ไม่มีตก ไม่มีควัน ซึ่งจะสังเกตได้ง่ายกว่าลูกไฟทั่ว ๆ ไป


ฝูงชนที่มาเฝ้าดูลูกไฟประหลาด ไม่เคยผิดหวัง จะเห็นมากหรือน้อยเท่านั้น

  • คลื่นประชาชน...

หลังจากที่ข่าวแพร่ออกไปเกี่ยวกับเรื่อง บั้งไฟพญานาค ทำให้ประชาชนในต่างจังหวัด และคน อ.โพนพิสัย เมื่อไปทำงานที่อื่น เมื่อวันออกพรรษาก็จะชักชวนเพื่อน ๆ มาดูสิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ อ.โพนพิสัย เต็มไปด้วยผู้คน รถยนต์แทบหาที่จอดไม่ได้ ต้องจอดไว้ที่ทุ่งนาที่ทางอำเภอจัดให้จอด เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องขอกำลังจาก สภ.อ. และ สภ.ต. ใกล้เคียงมาช่วยในการจัดการด้านจราจร เนื่องจากมีชาวบ้านต่างจังหวัดมากันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในจังหวัด และในกรุงเทพฯ ก็จะมาจองห้องพักตามโรงแรมต่าง ๆ ในจังหวัดเรียกว่า ห้องเต็มวันก่อนเป็นเดือน เพราะสิ่งมหัศจรรย์อย่างนี้ถือว่าได้ดูแล้วเป็นบุญวาสนาแก่ตนเอง หรือจะพูดว่าเป็นสิริมงคลแก่ตนเองก็ไม่ผิด เพราะสิ่งประหลาดไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก

  • ถนนทุกสายมุ่งสู่อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย

พอถึงวันออกพรรษาของทุกปี คลื่นประชาชนจากทั่วสารทิศก็มุ่งสู่ อ.โพนพิสัย ทั้งด้วยรถยนต์ส่วนตัว รถเหมา และรถประจำทาง ความหวังและจิตใจจดจ่ออยู่ที่สิ่งมหัศจรรย์ ที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขงในเขต อ.โพนพิสัย ที่ชาวบ้านตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ว่า บั้งไฟพญานาค สาเหตุที่เรียกว่าอย่างนั้นก็คงไม่มีใครสามารถให้คำอธิบายได้มากว่านี้ แต่สาเหตุที่เรียกว่าอย่างนั้น คือ ลูกไฟนี้เกิดขึ้นมาจากใต้แม่น้ำโขง ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งอุตริลงไปทำในน้ำได้ แต่หากทำได้ จะเพื่ออะไร ทำทำไม แล้วได้อะไร แต่หากทำจริง ในการทำแต่ละครั้งจะต้องใช้คนไม่น้อยกว่า 300 คน กระจายกันอยู่ใต้น้ำ อีกอย่างหนึ่งน้ำในแม่น้ำโขงจะมีสีขุ่น การทำงานนี้ต้องใช้ทุนอย่างมหาศาล จึงไม่มีความจำเป็นที่จะทำ

แต่ถึงแม้หลายคนจะไม่เชื่อว่าเป็น บั้งไฟพญานาค ตามที่ชาว อ.โพนพิสัย เรียก แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร แต่เมื่อได้เห็นกับตาแล้วค่อนข้างจะเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง เพราะไม่มีอะไรอื่นที่จะเรียกและเกิดขึ้นได้ การเกิดของบั้งไฟพญานาค ก็จะเกิดเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น และวันออกพรรษา ( ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ) จะต้องตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของประเทศลาว บั้งไฟพญานาค นี้จะขึ้นจำนวนมาก เท่าที่ผู้เขียนสังเกตมาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยการนำเสื่อไปปูคอยดูที่ท่าน้ำวัดไทยในสมัยนั้น เมื่อประมาณปี 2513 บั้งไฟพญานาคนี้จะขึ้นก็ต่อเมื่อในน้ำเงียบสงบ บนฝั่งเงียบ ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครม ราว ๆ ประมาณ 3 ทุ่ม ก็จะมีลูกไฟพุ่งขึ้นมาจากใต้น้ำสูงจากผิวน้ำประมาณไม่เกิน 3 วา แต่มาในปัจจุบัน ( ปี 2530-2539 ) ลูกไฟนี้จะขึ้นตั้งแต่เวลา 18.00 น. ไปจนถึงราว ๆ 22.00 น. ต่อจากนั้นไปก็ค่อย ๆ หมดไป แต่จะเกิดมากช่วง 18.00-21.00 น. ขึ้นแต่ละครั้ง แต่ละจุดไม่ต่ำกว่า 30-50 ลูก จะเกิดจากช่วงบริเวณ ท่าน้ำวัดหลวง ท่าน้ำปากห้วยหลวง ท่าน้ำวัดจุมพล วัดไทย และท่าน้ำวัดจอมนาง เป็นส่วนใหญ่ นอกนั้นจะมีบ้างเป็นจุด ๆ ไป แต่ไม่มากเหมือนกับเกิดที่บริเวณดังกล่าว

ลูกไฟดังกล่าวนับว่าเป็นลูกไฟมหัศจรรย์ ตามที่ชาวบ้าน อ.โพนพิสัย เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค" เพราะสิ่งแวดล้อมหลายอย่างเอื้ออำนวย และเหมาะที่จะคิดอย่างนั้น

จัดทำโดยครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
โรงเรียสตรีศรีสุริโยทัย เขตสาทร กทม.

นาค…เกี่ยวพันกับชีวิต น้ำ ธรรมชาติ

นาค…เกี่ยวพันกับชีวิต น้ำ ธรรมชาติ

พญานาค สัญลักษณ์ของผู้เกิดปีมะโรง

จะได้ยินอยู่เสมอว่า ปีนี้นาคให้น้ำเท่าไร กี่ตัว ฝนฟ้าดี หรือไม่ดี นาคให้น้ำสร้างความอุดมสมบูรณ์แก่สรรพชีวิตทั้งปวงพญานาค ที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ใต้น้ำ ตามคติฮินดู พญาอนันตนาคราช แท่นบรรทมของพระนารายณ์ ที่นับถือเป็นเทพเจ้าพญานาค เปรียบได้กับท้องน้ำทั้งหลายในจักรวาล นาคมีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ฝนตกหรือไม่ตกก็ได้ ตลอดจนสามารถแปลงกายเป็นเมฆฝนได้ พญานาค...เป็นที่มาของแม่น้ำต่าง ๆ อันหมายถึงผู้รักษาพลังแห่งชีวิตทั้งหลาย ตามความเชื่อของชาวพุทธ เทวดาแห่งน้ำ คือ วรุณและสาคร ที่ต่างก็เป็นจอมแห่งนาคราช นอกจากที่เกี่ยวข้องกับน้ำบนโลกแล้ว นาคยังเกี่ยวข้องกับน้ำในสวรรค์อีกด้วย คนโบราณเชื่อว่า สายรุ้ง กับ นาค เป็นอันเดียวกัน ที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ข้างหนึ่งของรุ้งจะดูดน้ำจากพื้นโลกขึ้นไปข้างบน เมื่อถึงจุดที่สูงสุดก็จะปล่อยน้ำลงมาเป็นฝนที่มีลำตัวของนาคเป็นท่อส่ง

ในตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง 4 ด้าน เป็น เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้ และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช ที่เห็นได้ชัดก็คือ ที่ปราสาทพนมรุ้ง จะมีคูเมืองที่เป็นสระน้ำ 4 ด้าน รอบปราสาทและมี พญานาค อยู่ด้วย ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ นาคจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำ เช่น การสร้างศาสนสถานไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ นาคที่ราวบันได จึงมี พญานาค ซึ่งตามความเป็นจริง (ความเชื่อ) การสร้างต้องสร้างกลางน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าศาสนสถานนั้นลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ก็ไม่ต้องสร้างจริง ๆ เพียงแต่มีสัญลักษณ์ พญานาค ไว้ เช่น ที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น

แม้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก็จะมีอยู่ในราศีเกิด เช่นของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึง ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจ ที่มี พญานาค เป็นสัญลักษณ์

นาคให้น้ำ...พญานาค เป็นสัญลักษณ์แห่งธาตุน้ำ "นาคให้น้ำ" เป็นเกณฑ์ที่ชาวบ้านรู้และเข้าใจดี ที่ใช้วัดในแต่ละปี จำนวนนาคให้น้ำมีไม่เกิน 7 ตัว ถ้าปีไหนอุดมสมบูรณ์มีน้ำมากเรียกว่า "นาคให้น้ำ 1 ตัว" แต่หากปีไหนแห้งแล้งเรียกว่าปีนั้น "มีนาคให้น้ำ 7 ตัว" จะวัดกลับกันกับจำนวนนาค ก็คือที่น้ำหายไป เกิดความแห้งแล้งนั้นก็เพราะ พญานาคกลืนน้ำไว้ในท้อง

เกี่ยวข้องกับคนไทย...เรามักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ ในงาน จิตรกรรม ประติมากรรม และหัตถกรรม นาคเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะตามอาคารวัดต่าง ๆ หลังคาอาคารที่สร้างขึ้นสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถานบันศาสนสถาน ตามคตินิยมที่ว่า นาคยิ่งใหญ่คู่ควรกับสถาบันอันสูงส่ง เช่น นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได นาคลำยอง ที่ทำเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับนาคสะดุ้ง นาคเบือน นาคจำลอง และนาคทันต์คันทวยรูปพญานาค

พญานาค...เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา

ตามตำนาน พญานาค มีอยู่ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว ดังเช่น หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ว ได้เสด็จไปตามเมืองต่าง ๆ เพื่อแสดงธรรมเทศนา มีครั้งหนึ่งได้เสด็จออกจากร่มไม้อธุปปาลนิโครธ ไปยังร่มไม้จิกชื่อ"มุจลินท์" ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุข อยู่ 7 วัน คราวเดียวกันนั้นมีฝนตกพรำ ๆ ประกอบไปด้วยลมหนาวตลอด 7 วัน ได้มีพญานาคชื่อ "มุจลินท์" เข้ามาวงด้วยขด 7 รอบพร้อมกับแผ่พังพานปกพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะป้องกันฝนตกและลมมิให้ถูกพระวรกาย หลังจากฝนหายแล้ว คลายขนดออก แปลงเพศเป็นมานพมายืนเฝ้าที่เบื้องพระพักตร์ ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า

ความเชื่อดังกล่าวทำให้ชาวพุทธสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรก แต่มักจะสร้างแบบพระนั่งบนตัวพญานาค ซึ่งดูเหมือนว่าเอาพญานาคเป็นบัลลังก์ เพื่อให้เกิดความสง่างาม และทำให้คิดว่า พญานาค คือผู้คุ้มครองพระศาสดา

พญานาค...สะพาน (สายรุ้ง) ที่เชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ โลกศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อที่ว่า พญานาคกับรุ้ง เป็นอันเดียวกัน ก็คือสะพานเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์นั่นเอง

นาคสะดุ้ง...ที่ราวบันไดโบสถ์นั้นได้สร้างขึ้นตามความเชื่อถือ "บันไดนาค" ก็ด้วยความเชื่อดังกล่าว แม้ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ก็โดยบันไดแก้วมณีสีรุ้ง ที่เทวดาเนรมิตขึ้นและมีพญานาคจำนวน 2 ตน เอาหลังหนุนบันไดไว้หรือแม้แต่ ตุง ของชาวล้านนา และพม่า ก็เชื่อกันว่าคลี่คลายมาจากพญานาค และหมายถึงบันไดสู่สวรรค์

ความเชื่อของชาวฮินดู ก็ถือว่า นาคเป็นสะพานเชื่อมภาวะปกติ กับที่สถิตของเทพ ทางเดินสู่วิษณุโลก เช่นปราสาทนครวัด จึงทำเป็น พญานาคราช ที่ทอดยาวรับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ สู่โลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์ หรือก็บั้งไฟของชาวอีสานที่ทำกันในงานประเพณีเดือนหก ก็ยังทำเป็นลวดลาย และเป็นรูปพญานาค พญานาคนั้นจะถูกส่งไปบอกแถนบนฟ้าให้ปล่อยฝนลงมา

ในสมัยพระพุทธเจ้า มีพญานาคตนหนึ่งนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วได้เกิดศรัทธา จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์ขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่อยู่มาวันหนึ่งเข้านอนในตอนกลางวัน หลังจากหลับแล้วมนต์ได้เสื่อมกลายเป็นงูใหญ่ จนพระภิกษุรูปอื่นไปเห็นเข้า ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงให้พระภิกษุนาคนั้นสึกออกไป เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงขอถวายคำว่า นาค ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน

ต่อจากนั้นมาพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ให้สัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ หรือสัตว์อื่น ๆ บวชอีกเป็นอันขาด เพราะก่อนที่อุปัชฌาย์จะอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวชจะต้องถาม อัตรายิกธรรม หรือข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ รวม 8 ข้อเสียก่อน ในจำนวน 8 ข้อนั้น มีข้อหนึ่งถามว่า "ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า"

  • เหตุที่พระสุกจมน้ำ ที่เวินสุก บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย

มีการเล่าขานถึงความศรัทธาของพญานาคว่า เหล่าพญานาค นั้นเป็นผู้ที่มีความเคารพ และศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก หลังจากที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้าง ประเทศลาว ความทราบถึงเหล่าพญานาค ที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้แปลงกายขึ้นไปขอพระพุทธรูปกับเจ้าเมืองล้านช้าง โดยเจาะจงขอเอาพระสุก เพื่อไปไหว้สักการะบูชา ที่เมืองบาดาล ปกติเหล่าพญานาคเป็นผู้ที่ถือศีลแปดเคร่งครัดมาก พญานาค จะไม่ทำร้ายใคร ส่วนมนุษย์ตายในน้ำที่ว่าเงือกกินนั้น เงือกก็คือ พญานาค ชั้นเลว ประพฤติตนเกเร จึงชอบทำร้ายมนุษย์ตามน้ำ เดี๋ยวนี้พระสุกก็ยังจมอยู่ในแม่น้ำโขง ที่ที่เป็นที่อยู่ของเหล่า พญานาค ในเมืองบาดาล เวินสุกอยู่ตรงข้ามกับบ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ตรงนั้นเป็นบริเวณปากน้ำงึมไหลลงมาออกแม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำสองสี

  • เมืองพญานาค หรือเมืองบาดาล

ในเมื่อมีเมืองมนุษย์ หรือโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ หรือเมืองสวรรค์ ก็ต้องมีเมืองบาดาล (เมืองพญานาค) สองเมืองนอกจากเมืองมนุษย์แล้วหลายคนก็คงต้องอยากไปเป็นแน่ วิสัยของมนุษย์ชอบในสิ่งที่ท้าทาย ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากพบ อยากเห็นเมืองบาดาลอยู่ใต้เมืองมนุษย์ลงไปในใต้ดิน 16 กิโลเมตร (ตามความเชื่อ) มีคำเล่าลือเกี่ยวกับเมืองบาดาลในเขต อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย (แต่อย่าอุตริขุดไปหาพญานาคก็แล้วกัน)

  • พระพุทธเจ้าเสด็จเทวโลก

ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จพร้อมด้วยพระอรหันต์จำนวน 500 รูป เพื่อเสด็จไปยังเทวโลก ได้ผ่านวิมานของเหล่าพญานาค ที่กำลังมีการรื่นเริงกันอย่างสนุกสนาน ที่มี นันโทปะนันทะนาคราช เป็นประธานใหญ่ เมื่อเห็นคณะสงฆ์ผ่านไปเหนือวิมานจึงมีความโกรธมาก จึงได้ตรงไปยังเขาพระสุเมรุแปลงตนเป็นนาคขนาดใหญ่ พันโอบเขาพระสุเมรุด้วยขดถึง 7 รอบ แล้วแผ่พังพานบังชั้นดาวดึงส์เอาไว้ เพื่อไม่ให้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ผ่านไปได้ และเมื่อเป็นดังนั้นได้มีพระอรหันต์หลายรูปอาสาปราบ แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต จน พระโมคคัลลานะ ผู้ซึ่งตามเสด็จไปด้วยอาสา พระองค์จึงทรงอนุญาต ดังนั้น พระโมคคัลลานะ จึงได้แปลงกายเป็นนาคราชขนาดใหญ่กว่าถึงเท่าตัว พันเอานาคนันโทปะนันทะนาคราช เอาไว้ด้วยขดถึง 14 รอบ นาคราชทนไม่ไหวบันดาลให้ไฟลุกขึ้น พระโมคคัลลานะ ก็ให้เกิดไฟขึ้นเช่นกัน ไฟของนันโทปะนันทะนาคราชสู่ไม่ไหว จึงถามว่า "ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นใคร" ตอบว่า "เราคือโมคคัลลานะ ศิษย์ของตถาคต" นันโทปะนันทะนาคราช จึงบอกว่า ท่านจงคืนร่างกลับเป็นพระเหมือนเดิมเถิด แต่ด้วยนิสัยของผู้รู้ว่า นันโทปะนันทะนาคราช เป็นคนไม่ยอมแพ้ใครง่าย ๆ จึงได้แปลงกายให้เล็กนิดเดียว สามารถเข้ารูหู รูจมูกได้ แล้วเข้าไปตามรูต่าง ๆ จน นันโทปะนันทะนาคราช ทนไม่ไหว และนันโทปะนันทะนาคราช สู้ไม่ได้จึงหนีไป พระโมคคัลลานะ จึงแปลงร่างเป็นพญาครุฑไล่ติดตามไป เมื่อหนีไม่พ้นจึงแปลงร่างเป็นมาณพหนุ่ม ยอมแพ้พระโมคคัลลานะและที่สุดจึงยอมให้พระพุทธเจ้าพร้อมพระอรหันต์ผ่านไปแต่โดยดี

จัดทำโดยครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
โรงเรียสตรีศรีสุริโยทัย เขตสาทร กทม.

นาค…เจ้าแห่งงู หรือ พญานาค

นาค…เจ้าแห่งงู หรือ พญานาค


ภาพจำลองพญานาคนาคเล่นน้ำ

  • พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น
  • พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฎเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม
  • .พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน
  • พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพเทวาอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อน ๆ กัน ชั้นสูง ๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์
  • พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ

จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี

จัดทำโดยครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
โรงเรียสตรีศรีสุริโยทัย เขตสาทร กทม.

เรื่องสั้น > พญานาค

พญานาค พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องราวพญานาคไว้หลายแห่ง ซึ่งพญานาคก็มีกำเนิดหลากหลาย มีอานุภาพ และในทรรศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา พญานาคเกี่ยวข้องกับบั้งไฟพญานาคอย่างไร





พญานาค ตอนที่ 8 บั้งไฟพญานาคพญานาค ตอนที่ 8 บั้งไฟพญานาค
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 15,214 ครั้ง



พญานาค ตอนที่ 7 กิเลสพญานาคพญานาค ตอนที่ 7 กิเลสพญานาค
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 11,256 ครั้ง



พญานาค ตอนที่ 6 กำเนิดอาณาจักรพญานาค ลุ่มแม่น้ำโขงพญานาค ตอนที่ 6 กำเนิดอาณาจักรพญานาค ลุ่มแม่น้ำโขง
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 14,878 ครั้ง



พญานาค ตอนที่ 5 พญามุจลินทนาคราชพญานาค ตอนที่ 5 พญามุจลินทนาคราช
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 7,658 ครั้ง



พญานาค ตอนที่ 4 พญานาคแปลงกายมาบวชพญานาค ตอนที่ 4 พญานาคแปลงกายมาบวช
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 9,397 ครั้ง



พญานาค ตอนที่ 3 พญานาคฟังธรรมจากพระเถระพญานาค ตอนที่ 3 พญานาคฟังธรรมจากพระเถระ
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 6,711 ครั้ง



พญานาค ตอนที่ 2 การต่อสู้ระหว่าง พญานาค และ พญาครุฑพญานาค ตอนที่ 2 การต่อสู้ระหว่าง พญานาค และ พญาครุฑ
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 24,936 ครั้ง



พญานาค ตอนที่ 1 พญานาคทั้ง 8 ตระกูลพญานาค ตอนที่ 1 พญานาคทั้ง 8 ตระกูล
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 32,502 ครั้ง

เรื่องสั้น > พญานาค

พญานาค พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องราวพญานาคไว้หลายแห่ง ซึ่งพญานาคก็มีกำเนิดหลากหลาย มีอานุภาพ และในทรรศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา พญานาคเกี่ยวข้องกับบั้งไฟพญานาคอย่างไร





พญานาค ตอนที่ 8 บั้งไฟพญานาคพญานาค ตอนที่ 8 บั้งไฟพญานาค
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 15,214 ครั้ง



พญานาค ตอนที่ 7 กิเลสพญานาคพญานาค ตอนที่ 7 กิเลสพญานาค
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 11,256 ครั้ง



พญานาค ตอนที่ 6 กำเนิดอาณาจักรพญานาค ลุ่มแม่น้ำโขงพญานาค ตอนที่ 6 กำเนิดอาณาจักรพญานาค ลุ่มแม่น้ำโขง
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 14,878 ครั้ง



พญานาค ตอนที่ 5 พญามุจลินทนาคราชพญานาค ตอนที่ 5 พญามุจลินทนาคราช
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 7,658 ครั้ง



พญานาค ตอนที่ 4 พญานาคแปลงกายมาบวชพญานาค ตอนที่ 4 พญานาคแปลงกายมาบวช
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 9,397 ครั้ง



พญานาค ตอนที่ 3 พญานาคฟังธรรมจากพระเถระพญานาค ตอนที่ 3 พญานาคฟังธรรมจากพระเถระ
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 6,711 ครั้ง



พญานาค ตอนที่ 2 การต่อสู้ระหว่าง พญานาค และ พญาครุฑพญานาค ตอนที่ 2 การต่อสู้ระหว่าง พญานาค และ พญาครุฑ
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 24,936 ครั้ง



พญานาค ตอนที่ 1 พญานาคทั้ง 8 ตระกูลพญานาค ตอนที่ 1 พญานาคทั้ง 8 ตระกูล
ศุกร์ 01 ก.ย. 49 ชม 32,502 ครั้ง

หลากหลายประสบการณ์...กับพญานาค

พญานาคที่คนส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นผู้สร้างบั้งไฟ สามารถพบเห็นได้ตามศาสนสถานทั่วไปทั้งฝั่งไทยและลาว


คืนวันที่ 7 ต.ค. นี้ จะเป็นวันที่สิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มน้ำโขง หรือที่เรียกกันว่า “บั้งไฟพญานาค” จะปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแม้จะยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเกิดบั้งไฟที่แท้จริง แต่ในขณะนี้ ความเชื่อเกี่ยวกับการเกิดของบั้งไฟพญานาค มีกรณีที่เป็นไปได้อยู่ 2 กรณี ข้อแรกก็คือบั้งไฟพญานาค เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ และข้อที่สอง คือพญานาคเป็นผู้สร้างบั้งไฟขึ้นเอง

บั้งไฟพญานาค หรือที่เมื่อก่อนหน้านี้ถูกเรียกว่า “บั้งไฟผี” นั้น แม้ว่าจะยังไม่รู้สาเหตุที่มาอย่างแน่ชัด แต่วันนี้เรามีเรื่องราวของผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับพญานาคมาเล่าสู่กันฟัง

บุญจันทร์ คำมุงคุณ ผู้ใหญ่บ้านและประธานโฮมสเตย์บ้านน้ำเป กิ่งอำเภอรัตนภูมิ จังหวัดหนองคาย เล่าให้ฟังว่า เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ขณะที่กำลังลงเรือหาปลาอยู่ในบริเวณปากห้วยน้ำเปตอนประมาณสองทุ่ม ก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายงูอยู่ในน้ำ

ที่ว่าลักษณะคล้ายงูก็เพราะ ตรงส่วนหัวนั้นไม่เหมือนงูทั่วๆ ไป คือมีลักษณะคล้ายหงอน และดวงตามีขนาดเท่าไข่ไก่เห็นเป็นสีแดง งูนั้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร เพื่อนที่ไปด้วยกันอีกสองคนก็เห็นเหมือนกันหมด

แต่ภาพที่เห็นก็ไม่เหมือนภาพพญานาคที่เคยเห็นตามรูปมากนัก แต่ก็อาจเป็นเพราะเห็นไม่ชัด เพราะความมืด และช่วงเวลาที่เห็นก็นิดเดียว เพราะพอเรือเข้าไปใกล้เค้าก็ลงน้ำหายไป นั่นเป็นครั้งเดียวที่เห็น และรู้สึกกลัวมาก ช่วงนั้นไม่กล้าไปหาปลาตอนกลางคืนอีกเลย แต่จริงๆ แล้วเค้าก็ไม่ได้มีท่าทีเป็นอันตรายหรือจะทำร้ายแต่อย่างใด

ทุกวันออกพรรษา บั้งไฟพญานาคจะพุ่งขึ้นมาให้คนได้ชมกัน
ผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับพญานาคอีกคนหนึ่งก็คือ “แอร์” ซึ่งเป็นคนจังหวัดอุดรธานี และเป็นคนที่มีสัมผัสที่หก เรื่องนี้เกิดขึ้นมาประมาณ 6-7 ปีมาแล้ว ตอนนั้นที่บ้านจัดทัวร์พาคนมาดูบั้งไฟพญานาคที่ริมแม่น้ำโขง แล้วมีฝรั่ง 3 คน พ่อแม่ลูกมาร่วมทริปด้วย ซึ่งฝรั่งคนพ่อนี้นอกจากจะไม่เชื่อแล้วก็ยังพูดด่าว่าอยู่ตลอดเวลา

การเดินทางในวันนั้นรถติดมาก แอร์ก็รู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนจะเป็นลม จนประมาณ 3 ทุ่ม ที่บั้งไฟพญานาคลูกแรกขึ้น แอร์ก็รู้สึกวูบไปเลย มารู้สึกตัวอีกทีในอีก 2 ชั่วโมงถัดมา ในลักษณะที่เท้าเหยียบอยู่ในแม่น้ำโขง มีคนหิ้วปีกอยู่ทั้งสองข้าง และรู้สึกว่าหน้าร้อนมาก ไม่เคยรู้สึกร้อนขนาดนั้นมาก่อน

หลังจากนั้นจึงได้รู้ว่าช่วงที่ตัวเองวูบไม่รู้สึกตัวไปนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะแม่เล่าให้ฟังทีหลังว่า จากช่วงเวลาที่บั้งไฟลูกแรกขึ้นนั้น แอร์ก็มีท่าทีแปลกๆ เริ่มพูดไม่เหมือนตามปกติ ใช้ภาษาแบบคนโบราณ เช่น ข้ากับเจ้า และนั่งชันขาเหมือนคนโบราณแล้วบอกว่า เราเป็นพญานาคชื่อสีดา ดูแลน้ำโขงช่วงนี้อยู่ ที่มานี่เพื่อมาเตือน เพราะเห็นว่าในกลุ่มนี้มีคนที่ไม่เชื่อและพูดลบหลู่อยู่ พร้อมทั้งยังบอกว่าตนอยู่ที่นี่มาเป็นพันๆ ปีแล้ว และบั้งไฟนี้ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ

จน 2 ชั่วโมงผ่านไป ถึงเวลาเกือบ 5 ทุ่ม พญานาคที่ชื่อสีดาก็บอกว่าจะกลับแล้ว ให้ช่วยไปส่งที่ริมแม่น้ำหน่อย จากนั้นแอร์ก็รู้สึกตัวขึ้น

ร่องรอยของพญานาคที่ฝากไว้บนกระโปรงรถ (ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง 15 ค่ำ เดือน 11)
อีกประสบการณ์หนึ่งจาก จุมพล สายแวว นายช่างไฟฟ้าสื่อสาร 5 ซึ่งแต่ก่อนเป็นพนักงานโสตฯ รับผิดชอบในการนำเสนอข่าวให้กับวิทยุและหน่วยงานกรมประชาสัมพันธ์ จึงคลุกคลีและสัมผัสกับเหตุการณ์บั้งไฟพญานาคมาตลอด 14 ปี

จุมพล บอกว่า ทุกๆ ปีก่อนที่จะถึงวันออกพรรษา มักจะมีเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพญานาคปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ เช่น ต้นมะพร้าว ที่ออกยอดมีลักษณะเหมือนพญานาค หรือชาวบ้านเห็นรอยคล้ายสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ขึ้นอยู่บนหลังคารถ ซึ่งปีนี้ก็เห็นมี 3-4 รอย

“ทุกครั้งที่มีข่าวที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับพญานาค ผมก็ได้ไปทำข่าวมา ก็ได้เห็นเป็นรอยเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน เป็นรอยขนาดใหญ่ขึ้นทั่วหลังคารถเลย หรือบางรอยก็เห็นขึ้นริมโขง ก็เป็นสิ่งที่เราไม่กล้าวิจารณ์ว่าเป็นอะไร ไม่กล้าลบหลู่”

แต่เหตุการณ์ที่เขาต้องจดจำเกี่ยวกับพญานาค เพราะได้เห็นกับตาและได้ถ่ายภาพวีดีโอไว้ เกิดขึ้นเมื่อ 7-8 ปีก่อน เมื่อเขาได้เห็นภาพของสิ่งมีชีวิตลักษณะลำตัวยาวๆ ที่คาดว่ามีหลายตัว เล่นน้ำอยู่กลางลำน้ำโขง ใกล้ๆ กับพระธาตุกลางน้ำ ซึ่งเหตุการณ์เป็นข่าวครึกโครม มีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก และเชื่อกันว่า เป็นเหตุการณ์ที่พญานาคขึ้นมานมัสการพระธาตุนั่นเอง

“ในส่วนของผมเอง เท่าที่หลายๆ ฝ่ายได้มาพิสูจน์กัน และผมมาประมวลของผมเอง ก็มีความเชื่อที่คล้ายๆ กับชาวบ้านส่วนใหญ่ คืออาจจะเชื่อว่าเป็นกลุ่มก๊าซหรือเป็นอะไรสักอย่างที่พิสูจน์ไม่ได้ หรืออาจจะเป็นพญานาคก็ได้ แต่ยังไงก็คือไม่น่าจะเป็นคนทำ เพราะว่าถ้าเป็นคนทำก็ต้องลงทุนมากคือต้องทำสุดแนวแม่น้ำโขง คือมันขึ้นในแม่น้ำโขง ไม่ได้ขึ้นในฝั่งลาว และมันก็มีอย่างนี้ทุกปี” จุมพล กล่าว

เรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นคำบอกเล่าจากประสบการณ์จริงของผู้ที่ได้เคยสัมผัสกับ “พญานาค” ที่แม้หลายๆ คนจะยังสงสัยว่ามีจริงหรือไม่ แต่ก็มีอีกหลายคนเช่นกันที่เชื่อว่าพญานาคนั้นมีอยู่จริง

แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไร?


หมายเหตุ : บทความนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่แต่ละคนพบเห็น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

เล่าขานตำนานบั้งไฟพญานาค
"หนองคาย" เมืองสงบเรียบง่ายริมฝั่งโขง
บั้งไฟพญานาค: ปฏิกิริยาเคมีในลำโขง
“บั้งไฟพญานาค” กับเหตุผลที่คนทำได้และไม่ได้
15 ค่ำ เดือน 11 : พญานาคพ่นเม็ดเงินสู่อีสาน

การชมบั้งไฟพญานาค

จุดชมบั้งไฟพญานาค

การชมบั้งไฟพญานาคนั้นนอกจากจะรู้วันแล้ว ยังต้องรู้เวลา รู้สถานที่ ที่มีแนวโน้มการเกิดบั้งไฟพญานาคอีกด้วย ตำแหน่งที่บั้งไฟพญานาคมักจะปรากฏให้เห็นว่า ทั่วทั้ง จ.หนองคาย มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 20 จุด โดยในจ.หนองคายเกิดขึ้นหลายจุด แต่จุดที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มีผู้พบเห็นบ่อยครั้งเริ่มจากที่ อ.สังคม บริเวณ "อ่างปลาบึก" บ้านผาตั้ง บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสังคม ต่อมาที่บริเวณ "วัดหินหมากเป้ง" อ.ศรีเชียงใหม่

ถัดจากนั้นก็จะพบในเขตอำเภอเมืองบ้านหินโงม ต.หินโงม อ.เมือง หน้าสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านเดื่อ ต.บ้านเดื่อ อ.เมือง พอเข้าสู่เขต อ.โพนพิสัยก็จะพบแทบจะตลอดลำน้ำโขง ตั้งแต่ปากห้วยหลวง ต.ห้วยหลวง อ.โพนพิสัย ในเขตเทศบาล ต.จุมพล หน้าวัดไทย วัดจุมพล วัดจอมนาง หนองสรวง เวินพระสุก ท่าทรายรวมโชค ต.กุดบง บ้านหนองกุ้ง ซึ่งที่ อ.โพนพิสัยจะพบมากที่สุด แล้วมาพบอีก ที่กิ่งอ.รัตนวาปี บริเวณ ปากห้วยเป บ้านน้ำเป วัดเปงจาเหนือ บ้านหนองแก้ว ในเขตอ.ปากคาด บ้านปากคาดมวลชล ห้วยคาด อ.ปากคาด และที่ อ.บึงกาฬ บริเวณวัดอาฮง ตำบลหอคำ อ.บึงกาฬ ซึ่งเป็นจุดที่ชาวหนองคายเชื่อกันว่าเป็นสะดือแม่น้ำโขง เป็นเมืองหลวงของเมืองบาดาล ก็ปรากฏบั้งไฟพญานาคให้เห็นเช่นกัน

ทางด้านจังหวัดอุบลราชธานี มีชาวบ้านพบเห็นมา 2-3 ปี แล้วและทางอ.โขงเจียมก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่ามีจริง โดยการเข้าชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค อ.โขงเจียมปีนี้ กำหนดจุดชมไว้ 3 แห่ง คือ บ้านกุ่ม บ้านท่าล้ง และบ้านตามุย

สำหรับระยะเวลาในการขึ้นของบั้งไฟพญานาคนั้นจะขึ้น ระหว่างตะวันตกดินถึงประมาณ 23.00 น.ก็จะหมดไป

ลักษณะ การเกิดบั้งไฟพญานาค ลูกไฟจะเอนเข้าหาฝั่ง หากขึ้นกลางแม่น้ำโขง แต่หากขึ้นริมฝั่ง ลูกไฟจะเอนออกไปกลางโขง ลักษณะเป็นดวงไฟขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ

ลักษณะ

การเกิดบั้งไฟพญานาค ลูกไฟจะเอนเข้าหาฝั่ง หากขึ้นกลางแม่น้ำโขง แต่หากขึ้นริมฝั่ง ลูกไฟจะเอนออกไปกลางโขง ลักษณะเป็นดวงไฟขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ ไปจนถึงขนาดเท่าไข่ห่านหรือผลส้ม มีสีแดงอมชมพูออกสีบานเย็น หรือสีแดงทับทิม ไม่มีควัน ไม่มีเขม่า ไม่มีเปลว ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น

โดยบั้งไฟพญานาคจะเริ่มปรากฏจากเหนือผิวน้ำ ตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร พุ่งสูงขึ้นไปประมาณระดับ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที แล้วจะดับหายวับไปในอากาศ ทั้งๆ ที่ดวงไฟยังโตอยู่ มิได้หรี่เล็กลงแล้วค่อยๆ ดับ และไม่มีลักษณะโค้งตกลงมาเหมือนดอกไม้ไฟ ซึ่งปรากฏการณ์การเกิดบั้งไฟพญานาคนี้ได้มีนักวิทยาศาสตร์ศึกษาวิจัยหลายต่อหลายท่าน แต่ก็ยังไม่พบข้อสรุปที่ชัดเจน[3]

[แก้]ทฤษฎีและข้อสมมติฐาน

ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ณ วันนี้ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ก็มีทฤษฎีและข้อสมมติฐานอยู่หลายทฤษฏี เช่น

นพ.มนัส กนกศิลป์ แห่งโรงพยาบาลหนองคาย อธิบายว่า บั้งไฟพญานาค เกิดจากก๊าซร้อน คือ ก๊าซที่มีส่วนผสมของก๊าซมีเทนและก๊าซไนโตรเจน เป็นส่วนผสมสำคัญ ซึ่งก๊าซร้อนชนิดนี้ ก็คือก๊าซชีวภาพที่ระเบิดจากหล่มอินทรียวัตถุใต้ท้องน้ำหรือในดินที่เปียก โดยมีแบคทีเรียกลุ่มมีเทนฟอร์มเมอร์ซึ่งดำรงชีวิตได้ในสภาพไร้ออกซิเจนเท่านั้น ณ ความลึกของแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำข้างเคียง เป็นตัวช่วยผลิตก๊าซ แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะได้ก๊าชมีเทนในปริมาณมากพอที่จะก่อให้เกิดความดันก๊าชในผิวทรายอย่างน้อย 1.45 เท่า ของความดันบรรยากาศ เมื่อไปเจอความกดดันของน้ำ ความกดดันของอากาศในตอนพลบค่ำ หล่มทรายก็จะไม่สามารถรับแรงดันได้ ก๊าซจะหลุดออกมาและพุ่งขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำ และมีการฟุ้งกระจายไปบางส่วน โดยเหลือแกนในของก๊าซซึ่งลอยตัวขึ้นสูง เมื่อไปกระทบกับอนุภาพออกซิเจนอะตอมที่มีประจุ ที่มีพลังงานสูง ก็จะเกิดการสันดาปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นดวงไฟหลายสี แต่ 95% จะเป็นดวงไฟสีแดงอำพัน พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วก็หายไป และทุกตำแหน่งที่เกิดบั้งไฟพญานาคจะอยู่ในระดับ 5-13 เมตรทั้งสิ้น

นอกจากนี้ยังพบอีกว่าความเป็นกรดและด่างของน้ำในแม่น้ำโขงก็จะสอดคล้องกับระบบนิเวศน์ที่จะเกิดการหมักก๊าซมีเทน ซึ่งคุณหมอได้เคยไปวางทุ่นดักก๊าซในแม่น้ำโขง และค้นพบว่าก๊าซที่ดักได้ในแม่น้ำโขงสามารถนำไปจุดติดไฟ จะเกิดการพุ่งวูบขึ้นมีสีออกเป็นแดงอมชมพู ส่วนคำถามที่ว่าทำไมบั้งไฟพญานาคถึงเกิดขึ้นในคืนวันออกพรรษา คุณหมอมนัสบอกว่าในคืนวันนั้นจะมีอ็อกซิเจน ก๊าซที่ช่วยให้ติดไฟสูงสุดในรอบปี ซึ่งก็เกิดจากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงพลังงานรังสีของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และโลก[4]

ส่วนอีกสมมติฐานนึงคือ เกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง โดยสมชาติ วิทยารุ่งเรือง ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต ได้หาวิธีการทำบั้งไฟพญานาคในแบบฉบับของเขามาได้ 8 วิธี โดยนพ.มนัส กนกศิลป์ ได้ออกมาถึงเหตุผลที่ว่า บั้งไฟพญานาคไม่น่าที่จะเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ได้ตั้งข้อสมมติฐานแย้งเช่น

  • คนที่กระทำต้องแข็งแรงมากเพราะกระแสน้ำมันแรงมาก ในขณะที่คนธรรมดากอดเสาอยู่ในน้ำยังทรงตัวไม่อยู่
  • นพ.มนัส กนกศิลป์ ได้เริ่มศึกษาเมื่อปี 2522 ก็มีบั้งไฟพญานาคขึ้นมาแล้ว 120 ปี ซึ่งจริง ๆ แล้ว ต้องเกิดขึ้นนานกว่านี้อีก เนื่องจากคนที่ทำคนนี้ต้องมีอายุมากกว่า 104 ปีแล้วต้องทำด้วยตัวเองจึงตัวเองจึงจะคุมความลับได้

เป็นต้น

ตำนานและความเชื่อ เรื่องของพญานาคในทางพุทธศาสนา ได้กล่าวไว้ว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา

ตำนานและความเชื่อ

เรื่องของพญานาคในทางพุทธศาสนา ได้กล่าวไว้ว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เลิกนิสัยดุร้าย และคิดจะหันมาออกบวช แต่ก็ติดที่เป็นสัตว์ไม่สามารถบวชได้ เนื่องจากเป็นสัตว์ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา ( 3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงินและบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้เมื่อรู้ถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้จัดทำ “บั้งไฟพญานาค” และจุดเฉลิมฉลองเช่นกัน และได้กลายมาเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้[1]

[แก้]การปรากฏตัวของพญานาค

ร่องรอยของพญานาคที่ฝากไว้บนกระโปรงรถ

พญานาค นอกจากปรากฏในรูปของบั้งไฟพญานาคแล้ว ยังมีหลักฐาน ร่องรอยและเรื่องเล่าต่างๆ อย่างเช่น บุญจันทร์ คำมุงคุณ ผู้ใหญ่บ้านและประธานโฮมสเตย์บ้านน้ำเป อำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย เล่าให้ฟังว่า ขณะที่กำลังลงเรือหาปลาอยู่ในบริเวณปากห้วยน้ำเปตอนประมาณสองทุ่ม ก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายงูอยู่ในน้ำ คือตรงส่วนหัวนั้นไม่เหมือนงูทั่วๆ ไป คือมีลักษณะคล้ายหงอน และดวงตามีขนาดเท่าไข่ไก่เห็นเป็นสีแดง งูนั้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร

จุมพล สายแวว นายช่างไฟฟ้าสื่อสาร 5 ได้ไปทำข่าวมา ก็ได้เห็นเป็นรอยเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน เป็นรอยขนาดใหญ่ขึ้นทั่วหลังคารถเลย หรือบางรอยก็เห็นขึ้นริมโขง และได้เกิดเหตุการณ์ ที่เขาได้เห็นกับตาและได้ถ่ายภาพวีดีโอไว้ เขาได้เห็นภาพของสิ่งมีชีวิตลักษณะลำตัวยาวๆ ที่คาดว่ามีหลายตัว เล่นน้ำอยู่กลางลำน้ำโขง ใกล้ๆ กับพระธาตุกลางน้ำ ซึ่งเหตุการณ์เป็นข่าวครึกโครม มีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก และเชื่อกันว่า เป็นเหตุการณ์ที่พญานาคขึ้นมานมัสการพระธาตุ[2]

[แก้]

บั้งไฟพญานาค

บั้งไฟพญานาค

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บั้งไฟพญานาค ลูกไฟประหลาดที่พวยพุ่งขึ้นกลางลำน้ำโขง

บั้งไฟพญานาค หรือ บั้งไฟผี เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่ชัดเจนได้ โดยมีลักษณะเป็นลูกไฟสีชมพู ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง พุ่งขึ้นเหนือลำน้ำโขง มีตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร แล้วพุ่งขึ้นไปในอากาศสูงประมาณ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที โดยจะเกิดปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ในช่วงวันออกพรรษา หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตามปฏิทินลาว ซึ่งอาจตรงกับวันแรม 1 ค่ำ หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของไทย โดยแต่ละปีจะปรากฏขึ้นประมาณ 3-7 วัน

มากกว่า 90% ของจำนวนลูกบั้งไฟพญานาคในแต่ละปี จะพบที่จังหวัดหนองคาย หน้าวัดไทย และบ้านน้ำเป อำเภอรัตนวาปี วัดอาฮงอำเภอบึงกาฬ วัดหินหมากเป้ง และอ่างปลาบึก อำเภอสังคม

ผู้ศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคหลายกลุ่ม พยายามอธิบายที่มาของปรากฏการณ์นี้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เช่น คาดว่าอาจจะเป็นก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน หรือ ฟอสฟอรัส ที่เกิดจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ใต้น้ำ

นอกจากประเทศไทยแล้ว ที่อื่น ๆ ในโลกก็มีรายงานการพบปรากฏการณ์ลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน เช่นที่ มลรัฐมิสซูรี และ มลรัฐเท็กซัสของสหรัฐอเมริกา โดยเรียกกันว่า แสงมาร์ฟา (Marfa lights) นอกจากนี้ยังพบที่เมืองเจดด้าห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ริมฝั่งทะเลแดง